กระดาษคราฟท์สามารถนำมาผลิตบรรจุภัณฑ์ได้หลากหลายประเภท เนื่องจากมีคุณสมบัติที่แข็งแรง ทนทาน และยืดหยุ่นได้ดี อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากทุกภาคส่วนกำลังลดการใช้พลาสติกเพื่อโลกของเรา ตัวอย่างบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษคราฟท์ ได้แก่
1. กล่องกระดาษ: ใช้สำหรับบรรจุสินค้าต่าง ๆ เช่น อาหาร, เครื่องดื่ม, สินค้าอุปโภคบริโภค, และของใช้ในบ้าน
2. ถุงกระดาษ: ใช้ในร้านค้า, ซุปเปอร์มาร์เก็ต, และร้านอาหาร เพื่อบรรจุสินค้าที่ลูกค้าซื้อ
3. ซองกระดาษ: ใช้สำหรับใส่เอกสาร, จดหมาย, หรือสินค้าผัก ผลไม้เล็กๆ น้อยๆ
4. กระดาษห่อของขวัญ: ใช้สำหรับห่อของขวัญในโอกาสพิเศษต่าง ๆ
5. บรรจุภัณฑ์กันกระแทก: ใช้สำหรับห่อหุ้มสินค้าเพื่อป้องกันการกระแทกหรือการเสียหายขณะขนส่ง
6. บรรจุภัณฑ์อาหาร: เช่น กล่องใส่อาหาร, ถาดกระดาษ, ถ้วยกระดาษ และกระดาษห่ออาหาร
7. กระดาษห่อสินค้า: ใช้ห่อหุ้มสินค้าก่อนนำไปบรรจุลงในกล่องหรือถุง
กระดาษคราฟท์ (Kraft Paper) คืออะไร คลิกอ่าน
ทั้งนี้กระดาษคราฟท์ยังสามารถนำไปผลิตเป็นวัสดุที่มีความหลากหลายมากกว่านี้อีกได้เช่น
1. เฟอร์นิเจอร์กระดาษ: เช่น เก้าอี้ โต๊ะ หรือชั้นวางของ ที่สามารถพับและประกอบได้ง่าย
2. เครื่องประดับ: เช่น สร้อยคอ สร้อยข้อมือ หรือแหวน ที่ทำจากกระดาษคราฟท์และเคลือบให้มีความทนทาน
3. ของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง: เช่น ของเล่นสำหรับแมว หรือสุนัข ที่ทำจากกระดาษคราฟท์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
4. กระเป๋าและกระเป๋าสตางค์: ที่ทำจากกระดาษคราฟท์ที่ผ่านกระบวนการทำให้มีความทนทานและกันน้ำ
5. การตกแต่งภายใน: เช่น วอลล์เปเปอร์หรือภาพพิมพ์ที่ทำจากกระดาษคราฟท์
6. เครื่องเขียน: เช่น สมุดโน๊ต ปฏิทิน หรือการ์ดอวยพร ที่มีดีไซน์เฉพาะตัว
7. บรรจุภัณฑ์สร้างสรรค์: เช่น กล่องของขวัญ หรือห่อของขวัญที่มีดีไซน์แปลกใหม่และสวยงาม
สิ่งของเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของการใช้กระดาษคราฟท์ในรูปแบบที่แปลกและสร้างสรรค์ ซึ่งยังมีไอเดียอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถนำไปใช้ได้
ข้อดีของการใช้กระดาษคราฟท์
1. ความแข็งแรงและทนทาน: กระดาษคราฟท์มีความแข็งแรงสูง สามารถทนต่อการฉีกขาดและการกระแทกได้ดี ทำให้เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความปลอดภัยในการขนส่ง
2. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: กระดาษคราฟท์ทำจากเส้นใยธรรมชาติและสามารถรีไซเคิลได้ ช่วยลดปริมาณขยะและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
3. การระบายอากาศ: กระดาษคราฟท์มีความสามารถในการระบายอากาศได้ดี จึงเหมาะสำหรับการบรรจุอาหารที่ต้องการการระบายความชื้น
4. ความยืดหยุ่นในการใช้งาน: กระดาษคราฟท์สามารถขึ้นรูปและปรับแต่งให้เป็นบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น กล่อง, ถุง, หรือซอง
5. ความสามารถในการพิมพ์: กระดาษคราฟท์สามารถพิมพ์ลวดลายและข้อมูลต่างๆ ได้ดี ช่วยในการทำบรรจุภัณฑ์ให้มีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ รวมไปถึงการออกแบบหรือสร้างแบรนด์ก็ทำได้ง่าย
6. การรีไซเคิล: กระดาษคราฟท์สามารถนำมารีไซเคิลได้ง่าย เนื่องจากทำจากเส้นใยธรรมชาติ ไม่ผ่านการฟอกสีหรือเคมีที่เป็นอันตราย ทำให้กระดาษคราฟท์สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลายครั้ง
7. การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ: การผลิตกระดาษคราฟท์ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าในกระบวนการผลิตกระดาษที่ฟอกสีหรือเคลือบสารเคมี ทำให้การผลิตกระดาษคราฟท์มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า
8. ลดการใช้พลาสติก: การใช้กระดาษคราฟท์ในผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ช่วยลดการใช้พลาสติก ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้เวลาย่อยสลายนานและก่อให้เกิดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม
คุณรู้หรือไม่ กระดาษคราฟท์สามารถย่อยสลายได้เร็วจริงหรือ ?
กระดาษคราฟท์เป็นกระดาษที่ทำจากเยื่อไม้ที่ผ่านกระบวนการคราฟท์ ซึ่งกระดาษคราฟท์นี้สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เนื่องจากทำจากวัสดุธรรมชาติและไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายเพิ่มเติมในกระบวนการผลิต โดยทั่วไปกระดาษคราฟท์จะย่อยสลายได้ภายใน 2-6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเช่น ความชื้น อุณหภูมิ และปริมาณแสงแดด
แต่ยังมีหลายคนเข้าใจผิด โดยแท้จริงแล้วบรรจุภัณฑ์กระดาษคราฟท์ที่มีการเคลือบ PE (Polyethylene) จะไม่สามารถย่อยสลายได้ง่ายเหมือนกระดาษคราฟท์ธรรมดา เนื่องจากพลาสติก PE ไม่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพซึ่งทำให้กระดาษคราฟท์ชนิดนี้ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
โดยสรุป กระดาษคราฟท์เป็นวัสดุที่มีประโยชน์และเหมาะสำหรับการผลิตบรรจุภัณฑ์ในหลาย ๆ ประเภท แต่การเลือกใช้งานต้องพิจารณาถึงความต้องการเฉพาะและข้อจำกัดของวัสดุ ที่สำคัญควรเลือกโรงงานในการผลิตรวมไปถึงร้านค้าที่ไว้วางใจได้เพื่อประโยชน์ต่อตัวท่านและผู้บริโภค
แหล่งอ้างอิง
กรมโรงงานอุตสาหกรรม : http://php.diw.go.th/
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) : https://packaging.oie.go.th